ด.ช.

ด.ช.
เฟส

This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ลำใย

      1.การเลือกพื้นที่ ลำไยเป็นพืชที่เจริญเติบโตในดินแทบทุกชนิด แม้กระทั้งดินลูกรัง แต่ดินปลูกที่ให้ลำไยมีการเจริญเติบโตได้ดี คือดินร่วนปนทรายและดินตะกอน ซึ่งเกิดจากตะกอนดินกรวด หิน ดิน ทราย อินทรีวัตถุที่น้ำพัดมาเกิดการทับถมของอินทรียวัตถุ สังเกตได้จากต้นลำไยที่ปลูกตามที่ราบลุ่มริมแม่น้ำปิง น้ำใต้ดินสูงในเขตจังหวัดลำพูน และเชียงใหม่ มีการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตดี ดินปลูกลำไยควรมีค่าความเป็นกรดด่างของดิน(pH)อยู่ในช่วง 5.0-7.0 มีหน้าดินลึกระบายน้ำดี ดังนั้นก่อนทำการปลูกลำไยควรศึกษาคุณสมบัติของดิน เช่น โครงสร้างของดิน เนื้อดิน และความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการธาตุอาหารลำไยอย่างมีประสิทธิภาพ

        2. แหล่งน้ำ น้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อกาเจริญเติบโตของลำไย การผลิตลำไยเพื่อให้ได้คุณภาพต้องมีน้ำในปริมาณที่เพียงพอตลอดฤดูกาล นอกจากนี้ควรทำการศึกษาคุณสมบัติของน้ำและวิธีการจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพเหมาะสำหรับการผลิตลำไย

        3. สภาพภูมิอากาศ ปัจจัยสภาพภูมิอากาศที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตของลำไย ได้แก่

            3.1 อุณหภูมิ โดยทั่วไปลำไยต้องการอากาศค่อนข้างเย็น อุณหภูมิที่สามารถเจริญเติบโตได้อยู่ระหว่าง 4-30 องศาเซลเซียส และต้องการอุณหภูมิต่ำ 10-22 องศาเซลเซียส ในช่วงฤดูหนาวเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม เพื่อสร้างตาดอก ซึ่งในปีที่มีอากาศเย็นระยะเวลานานโดยไม่มีอากาศอุ่นแทรก ลำไยจะออกดอกติดผลดี แต่ถ้ามีอุณหภูมิไม่ต่ำพอ ต้นลำไยจะออกดอกน้อยหรือไม่ออกดอก

            3.2 แสง การเจริญเติบโตของลำไยจำเป็นต้องได้รับแสงอย่างเพียงพอ ดังนั้นการปลุกลำไยจึงควรปลูกในที่โล่ง ในสภาพพื้นที่ที่มีปริมาณแสงน้อยซึ่งอาจเกิดจากการบังแสงของเมฆ หรือเกิดฝนตกติดต่อกันหลายวัน มักทำให้ต้นลำไยชะงักการเจริญเติบโต ส่วนในสภาพที่มีความเข้มแสงสูงมักเกิดปัญหาทำให้ผิวของผลลำไยเป็นสีน้ำตาลเข้มจำหน่ายได้ราคาตกต่ำ

            3.3 ปริมาณน้ำฝนและความชื้นสัมพัทธ์ แหล่งปลูกลำไยควรมีปริมาณน้ำฝนอยู่ในช่วงประมาณ1000 – 200 มิลลิเมตรต่อปี และควรมีการกระจายของฝนประมาณ100-150 วันต่อปีในแหล่งปลุกที่มีปริมาณฝนตกน้อย ควรจัดหาแหล่งน้ำและระบบชลประทานให้เพียงพอและเหมาะสม

            3.4 ระดับความสูงของพื้นที่ ลำไยสามารถปลูกได้ดีในที่ราบลุ่มจนถึงพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล1000 เมตร

        4. การตลาด ก่อนการเริ่มต้นสร้างสวนลำไยผู้ดำเนินการต้องมั่นใจว่าในพื้นที่นั้นมีตลาดรองรับผลผลิตทั้งในแปรรูปและผลสด พื้นที่ปลูกลำไยไม่ควรอยู่ห่างจากจุดรับซื้อมากเกินไป เพราะจะทำให้ต้นทุนในการขนส่งสูงทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว

        5. การคมนาคมขนส่ การเลือกสร้างสวนลำไยในพื้นที่ที่มีความสะดวกในการติดต่อสื่อสารและการจำหน่ายผลผลิต นอกจากจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการ เดินทางยังช่วยให้การขนส่งผลผลิตไปจำหน่ายยังแหล่งรับซื้อทำได้รวดเร็วมีการสูญเสียของผลผลิน้อยลง

        6. แรงงาน การปฏิบัติงานภายในสวนลำไยจำเป็นต้องมีแรงงานทั้งแรรงงานประจำและแรงงานชั่วคราวต้องทำงานเร่งด่วนในบางช่วง เช่น ช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต การตัดแต่งกิ่ง เป็นต้น แหล่งปลุกลำไยที่มีแรงงานที่เพียงพอ และมีความชำนาญจะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้มาก นอกจากนี้ควรมีการฝึกฝนแรงงานให้มีความรู้และทักษะเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้กับเจ้าของสวน

           การเลือกต้นพันธุ์ลำไย

           จากคำกล่าวที่ว่า การเลือกไม้ผลพันธ์ดีมีชัยไปเกือบครึ่ง” การสร้างสวนลำไยเพื่อให้ต้นลำไยมี่ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ควรเลือกซื้อต้นลำไยจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ มีการผลิตจากต้นพันธุ์ที่มีพ่อแม่สมบูรณ์ แข็งแรงสามารถตั้งตัวได้เร็วที่สำคัญควรควรได้จากต้นพันธุ์ที่มีประวัติการออกดอกติดผลสม่ำเสมอ ผลมีขนาดใหญ่ การคัดเลือกลำไยควรคำนึงถึงระบบรากที่แข็งแรง เช่น การปลูกต้นลำไยกิ่งเสียบหรือการเสริมรากกับต้นกิ่งตอนหลังปลูก (พาวินและคณะ, 2547)

           การวางผังสร้างสวนลำไย

           การวางผังปลูกลำไยที่ดีย่อมส่งผลให้การจัดการสวนมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น สามารถนำเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่ทันสมัยมาปรับปรุงใช้ในการผลิตเพื่อให้ผลผลิตของลำไยมีคุณภาพและช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้ จ้อควรพิจารณาในการวางผังสร้างสวนลำไยมีดังนี้(พาวินและคณะ, 2547)

ขนาดพื้นที่ การสร้างสวนลำไยเพื่อเป็นการค้ามักใช้พื้นที่ปลูกขนาดใหญ่ควรมีการแบ่งพื้นที่ปลุกเป็นแปลงย่อยหลายแปลงแต่ละแปลงควรมีถนนกั้นเพื่อให้เกิดความสะดวกต่อการจัดการต้านต่างๆเช่น การให้น้ำและธาตุอาหาร การควบคุมป้องกันศัตรูลำไยหรือป้องกันไฟป่าในช่วงหน้าแล้งเป็นต้น

ระยะปลูก การกำหนดระยะปลูกของลำไยเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการปลูกควรมีการศึกษาข้อดีและข้อเสียของระยะปลุกต่างๆให้ละเอียดตลอดจนวิธีการจัดการหลังทำการปลุก เช่น การจัดแต่งกิ่งควบคุมทรงพุ่ม การใช้สารกระตุ้นการออกดอก เป็นต้น

ส่วนประกอบอื่นๆ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำงานและสภาพภูมิทัศน์ภายในสวนมีความสวยงาม การสร้างสวนลำไยควรมีส่วนประกอบอื่นๆ เช่น มีแหล่งน้ำที่พอเพียง แนวระบายน้ำและป้องกันน้ำขัง ถนนภายในสวน โรงเรือน โรงคัดบรรจุผลผลิตควรอยู่กลางพื้นที่สวน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดการเป็นต้น

            รูปแบบการปลูกลำไย

          รูปแบบการปลุกลำไยที่นิยมมี 3 แบบ คือ

             1. การปลูกระยะห่าง เป็นวิธีที่นิยมมากตั้งแต่ในอดีตและปัจจุบัน การปลูกลำไยต้องการให้ต้นลำไยมีเจริญเติบโตขยายขนาดของทรงพุ่มเต็มที่ รูปแบบการปลุกมีทั้งสี่เหลี่ยมจัตุรัส และแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยกำหนดให้ระยะห่างระหว่างแถวและระยะห่างระหว่างต้นเกิน 8 เมตร เช่น 8x8 10x10 12x12 8x10 และ 10x12 เมตร ต้นลำไยมักมีทรงพุ่มขนาดสูงใหญ่ ปริมารผลผลิตติ่ต้นสูง แต่จำนวนต้นต่อไร่น้อยมักประสบปัญหาการจัดการและต้นลำไยโค่นล้มง่ายโดยเฉพาะเมือเกิดพายุลมแรง(พาวินและคณะ, 2547)

            2. การปลูกระยะชิด เป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่การปลูกระยะชิดต้องมีการตัดแต่งกิ่งเอควบคุมทรงพุ่มและการใช้สารโพแทสเซียมคลอเรต กระตุ้นให้มีการออกดอก การปลูกลำไยระยะชิดเป็นรูปแบบการปลูกที่ได้จำนวนต้นต่อไร่สูง ในประเทศไทยมีการสร้างสวนลำไยระยะชิดยังไม่แพร่หลาย อาจเนื่องมาจากมีบทเรียนจากการปลูกลำไยระยะชิด ที่ไม่ประสบความสำเร็จในอดีต การควบคุมทรงพุ่มทำได้ยากเพราะต้นลำไยที่ตัดแต่งกิ่งมักออดอกปีเว้นปี อย่างไรก็ตามภายหลังมีการค้นพบสารโพแทสเซียมคลอเรตสามารถกระตุ้นการออกดอกของลำไยได้ แนวคิดเกี่ยวกับการปลูกลำไยระยะชิดจึงกลับมาอีกครั้ง ซึ่งรูปแบบการปลุกลำไยระยะชิดมีหลายๆแบบ ดังนี้ (พาวินและคณะ, 2547)

                2.1 การปลูกระยะชิดแบบแถวเดี่ยว เป็นรูปแบบการปลูกคล้ายระบบการปลูกห่างแต่มีระยะปลูกที่แคบกว่า เช่น แบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ระยะปลูก 4x4 5x5 เมตร หรือ แบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ระยะปลูก 3x6 4x6 เมตร ซึ่งสามารถนำเครื่องจักรเข้าไปปฏิบัติงานในสวนได้สะดวกกว่าแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส

                2.2 การปลูกระยะชิดแบบแถวคู่ เป็นระบบการปลูกที่กำหนดให้แถวอยู่ชิดกันหนึ่งคู่สลับกับแถวห่างเพื่อการปฏิบัติงานงานโดยเครื่องจักร เป็นระบบที่เพิ่มจำนวนต้นต่อไร่มากขึ้นและมีพื้นที่การให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น แต่ในลักษณะสภาพแวดล้อมที่อากาศร้อนชื้นอาจทำให้มีการระบาดของโรคและแมลงศัตรูลำไยมาก

                2.3 การปลูกระยะชิดแบบกลุ่ม เป็นระบบการปลูกลำไยรวมกันให้เกิดเป็นกลุ่มโดยอาศัยเทคนิคการตัดแต่งกิ่งควบคุมทรงพุ่ม เป็นการเพิ่มพื้นที่ของการให้ผลผลิตลำไย)

            3.ระบบคอนทัวร์หรือระบบแนวระดับ เป็นระบบการปลูกลำไยที่ช่วยป้องกันและลดอัตราการชะล้าง หรือการพังทลายของดินในพื้นที่ที่มีความลาดชัน ปกติระบบการปลุกนี้จะให้เมื่อพื้นที่ปลูกมีความลาดชันเกิน 3 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงในทุกระยะทาง 100 เมตร จะมีระดับความสูงขึ้นหรือต่ำลง 3 เมตรขึ้นไปต้องทำการปลุกตามแนวระดับ การเตรียมพื้นที่ปลูกต้องมีการทำระดับหรือขั้นบันได ตามระดับความสูงของพื้นที่ซึ่งการปลูกแบบนี้มีความยุ่งยากต่อการปฏิบัติงานในสวนมากกว่าวิธีอื่น (พาวินและคณะ, 2547)

            ฤดูปลูก

             ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกลำไย คือช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูฝน จะได้น้ำช่วงแรกเพื่อให้ลำไยตั้งตัวได้ในระยะแรก 3-4 เดือน ก่อนเข้าสู่ช่วงฝนตกหนัก(สิงหาคม-กันยายนและฝนจะทิ้งช่วงในเดือน ตุลาคม-มกราคม และเข้าสู่ฤดูแล้ง (กุมภาพันธ์-เมษายนซึ่งจะต้องมีการจัดการน้ำที่ดี ในระยะปีที่1-2 ซึ่งถือว่าเป็นปีที่ลำไยตั้งตัวและจะรอดได้จำเป็นต้องไม่ให้ขาดน้ำในฤดูแล้ง และไม่ให้น้ำท่วมขังในฤดูฝนด้วย (พงษ์ศักดิ์, และคณะ2542)

             การเตรียมพื้นที่ปลูกลำไย

    การสร้างลำไยของประเทศไทยส่วนมากมักมีการปลูกใน 2 ลักษณะพื้นที่ (พาวินและคณะ, 2547)คือ

            การสร้างสวนลำไยที่สภาพที่ลุ่ม บางพื้นที่ของจังหวัดลำพูนและเชียงใหม่มักมีการปลูกลำไยในที่ใช้ทำนามาก่อน ปัญหาหลักที่พบของการปลูกลำไยในที่ลุ่มคือ น้ำท่วมขังโดยเฉพาะใยช่วงฤดูฝน และมีระดับน้ำใต้ดินสูง หากมีการระบายน้ำไม่ดี ทำให้ต้นลำไยชะงักการเจริญเติบโต การจัดการพื้นที่ปลุกลำไยที่เป็นที่ลุ่มคือ การยกสันร่องปลูกลำไย เป็นการสร้างสวนลำไยที่ต้องมีการลงทุนค้อนข้างสูง โดยทำการขุดร่องน้ำนำดินจากการขุดมาเสริมบนสันร่องเพื่อให้ระดับดินปลูกสูงขึ้น สันร่องที่ใช้ปลุกควรกว้างพอสำหรับการเจริญเติบโตของลำไย โดยทั่วไปสันร่องมีความกว้างประมาณ 6-8 เมตร และร่องน้ำกว้าง 1—2 เมตร ระบบการปลุกบนสันร่องนิยมปลูกเป็นลักษณะแถวเดียวหรือแถวคู่ การปลูกลำไยบนสันร่องควรทำการตัดแต่งกิ่งเพื่อควบตุมทรงพุ่มอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สะดวกต่อการปฏิบัติงาน และลดปัญหาโรคและแมลงศัตรูลำไย การสร้างสวนลำไยระบบนี้ในระยะแรกของการปลุกต้นลำไยมีทรงพุ่มขนาดเล็กสามารถใช้พื้นที่ว่างบนสันร่องปลูกพืชอายุสั้น เช่น พืช ผัก หรือตระกูลถั่ว และยังทำให้ต้นลำไยได้รับน้ำและปุ๋ยที่ให้พืชผักอยู่ตลอดเวลาทำให้ต้นลำไยเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

            การสร้างสวนลำไยในสภาพที่ดอน การเตรียมพื้นที่ปลูกลำไยในสภาพที่ดอนจะทำได้สะดวกกว่าในสภาพที่ลุ่ม ปัญหาส่วนมากที่มักพบในการปลูกลำไยในสภาพที่ดอน คือ การขาดน้ำ พื้นที่มีชั้นหินแข็งและปัญหาไฟป่า เป็นต้น ดังนั้นการเตรียมพื้นที่ปลูกการสภาพที่ดอนควนสำรวจพื้นที่สร้างแหล่งน้ำสำหรับใช้ภายในสวน สภาพพื้นที่ปลุกลำไยมีชั้นหินแข็งควรใช้เครื่องจักรทำลายชั้นหินแข็งก่อนปลุก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนอาจทำให้ลำไยชะงักการเจริญเติบโตหรือตายได้ การสร้างสวนลำไยในที่ดอนยังมีปัญหาลมพัดแรงทำให้ต้นโค่นล้มกิ่งฉีกหัก จึงควรปลูกแนวไม่บังลม เช่นไผ่และสน เป็นต้น และต้องมีการตัดแต่งกิ่งให้ต้นลำไยมีทรงพุ่มเตี้ยช่วยลดปัญหาการโค่นล้ม มีการใช้ไม้ไผ่ค้ำกิ่งน้อยลง นอกจากนี้การสร้างสวนลำไยในที่ดอนยังต้องทำแนวป้องกันไฟป่าในช่วงหน้าแล้ง หรืออาจสร้างถนนโดยรอบภายในสวนสาสารถใช้เป็นแนวป้องกันความเสียหายจากไฟไหม้

           การปลูกลำไย

          การปลูกลำไยเป็นวิธีการปฏิบัติที่ต้องอาศัยทักษะและความละเอียดอ่อน เพื่อให้ต้นลำไยมีการเจริญเติบโตที่ดีและรอดตายสูง ขั้นตอนการปลูกลำไยมีดังนี้ (พาวินและคณะ, 2547)

            1.การเตรียมต้นพันธุ์ลำไยก่อนปลูก เพื่อให้กิ่งพันธุ์ลำไยสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมปลูกได้ดีก่อนปลูกประมาณ 1-2 สัปดาห์ ควรย้ายต้นพันธุ์ลำไยออกกลางแจ้งภายนอกโรงเรือน มีการตัดแต่งกิ่งยอดอ่อนออกบ้าง เพื่อลดการคายน้ำกรณีที่ใช้ต้นลำไยที่ขยายพันธ์ด้วยวิธีเสียบกิ่ง ควรตรวจสอบการเชื่อติดของรอยแผลให้สมบูรณ์และใช้มีดกรีดพลาสติกพันแผลออกก่อนนำไปปลูก

            2. การเตรียมหลุมปลูกลำไย มีการปฏิบัติดังนี้

                2.1 การวัดระยะตำแหน่งของหลุมปลูกลำไย เป็นการกำหนดตำแหน่งของหลุมปลูกลำไยตามที่กำหนดไว้ในแผนผังของพื้นที่ปลุกการวัดระยะเพื่อกำหนดตำแหน่งหลุมปลูกของลำไย ควรได้แนวแถวปลูกที่มองทุกด้านเป็นแนวเส้นตรงในทุกทิศ อุปกรณ์ที่จำเป็นในการวัดระยะตำแหน่งของหลุมปลูกลำไยเช่น เทปวัด ไม้หลักเล็งแนว ไม้หลักกำหนด จุด เชือก และอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ค้อน จอบ มีด การทำสวนในพื้นที่ขนาดใหญ่อาจใช้กล้องช่วยเล็งแนวทำให้การปฏิบัติงานเร็วขึ้น

                2.2 การขุดหลุมปลูกลำไย ขนาดของหลุมปลูกพิจารณาได้จากสภาพโครงสร้างของดิน ถ้าในสภาพพื้นที่ที่มีโครงสร้างดินปลูกเป็นดินร่วน และมีความอุดมสมบูรณ์ขนาดของหลุมปลูกอาจเล็กลงได้โดยปกติจะใช้ขนาด30X50เซนติเมตร การทสวนลำไยในพื้นที่ขนาดใหญ่การขุดหลุม ปลูกต้องใช้แรงงงานจำนวนมากทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง การใช้แทรกเตอร์ติดสว่านเจาะดิน ทำการขุดหลุมจะช่วยให้ประหยัดเวลา แลแรงงงานได้อย่างมาก แต่การใช้อุปกรณ์เหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงในสภาพดินค่อนข้างชื้น

          ขั้นตอนการขุดหลุมและปลูกต้นพันธุ์ลำไย

    วิธีการปลูกลำไยที่ถูกต้องจะช่วยให้ต้นลำไยมีการเจริญเติบโตที่ดีและได้สวนลำไยที่มีความเป็นระเบียบสวยงาม ควรมีขั้นตอนดังนี้ (พาวินและคณะ, 2547)

        1.วางไม้กำหนดตำแหน่งปลุก ก่อนขุดหลุมในตำแหน่งปลูกเพื่อป้องกันไม่ไห้ตำแหน่งของต้นลำไยเคลื่อนไปจากตำแหน่งเดิมที่กำหนดไว้

        2. ขุดหลุมแยกชั้นดินบนและดินล่างไว้ไม่ไห้ปนกัน ในสภาพที่มีความชื้นสูงควรมีการตากหน้าดินทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนปลูกเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่อาศัยอยู่ในดิน

        3. คลุกเค้าปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายแล้วหรือปุ๋ยหมักกับดินชั้นบน อัตรา 1:1 หรือ 2:1 ใส่ลงไปบริเวณก้นหลุมปลูกต้นลำไยให้อยู่ในตำแหน่งต้นของไม้กำหนดตำแหน่งปลูก

        4. กลบดินให้แน่นกระชับให้สูงกว่าระดับพื้นและให้รอยเชื่อมต่อต้นพันธุ์อยู่หัวผิวดินและรดน้ำให้ความชื้นหลังปลูก

         การดูแลรักษาลำไยที่ปลูกใหม่

         หลังการปลูกลำไยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าสภาพแวดล้อมปลูกไม่เหมาะสมโดยเฉพาะการปลูกลำไยในที่ดอนช่วงหน้าแล้งอาจทำให้ลำไยได้รับอันตรายจำเป็นต้อง มีการปฏิบัติเพื่อให้ต้นลำไยมีการเจริญเติบโตตามปกติ ควรมีการปฏิบัติดังนี้ (พาวินและคณะ, 2547)

        1.  การผูกหลักเพื่อป้องกันต้นโยกคลอนจากลมหรือสัตว์เลี้ยง ทำให้รากลำไยได้รับความเสียหาย

        2. การปลูกลำไยที่ขยายพันธุ์โดยการเสียบกิ่ง ควรใช้ปลายมีดกรีด พลาสติกพัน แผลออกเพื่อป้องกันพลาสติกรัดลำต้นลำไย

        3. คลุมโคนต้นลำไยด้วยเศษพืชในช่วงฤดูแล้ง เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดการสูญเสียน้ำไปจากดินและควรราดสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงศัตรูทำลายรากลำไย เช่น ปลวก และ มด บังร่มให้ต้นลำไยกรณีปลูกในพื้นที่มีแดดจัดสภาพอากาศร้อนเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อต้นลำไยควรใช้วัสดุพลาง เช่น ทางมะพร้าว ตาข่ายพลางแสง

        4. ระยะแรกของการปลูกควรให้น้ำทุกวัน

        การปลูกลำไยทรงเตี้ยระยะชิด

    ลำไยทรงเตี้ยระยะชิด

         การปลูกลำไยระยะชิดเป็นระบบการปลูกรูปแบบใหม่ เป็นรูปแบบที่นิยมในประเทศ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ยุโรป อเมริกาและออสเตรเลีย การทำสวนลำไยแบบดั้งเดิมเกษตรกรจะปล่อยให้ต้นลำไยมีทรงพุ่มสูงใหญ่ โดยตัดแต่งกิ่งที่อยู่ด้านล่างออก ซึ่งจะเป็นการบังคับให้ต้นลำไยมีการเจริญในด้านส่วนสูงมากขึ้น ทำให้ไม่สะดวกต่อการจัดการและการปรับปรุงคุณภาพเพื่อให้ผลมีขนาดใหญ่โดยการตัดช่อผลทำได้ยาก ในส่วนเกษตรกรที่คิดจะสร้างสวนใหม่เพื่อทดแทนสวนลำไยเก่าที่เสื่อมโทรมนั้น ควรปลูกลำไยทรงเตี้ยระยะชิด(ศูนย์วิจัยและพัฒนาลำไยแม่โจ้,มปป)

    ข้อดีของลำไยทรงเตี้ยระยะชิด

        1.ให้ผลตอบแทนเร็ว ปลูกเพียง 2 ปีก็ให้ผลผลิต

        2.ให้ผลผลิตต่อไร่สูง

        3. ลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะด้านแรงงาน

        4. สะดวกในการจัดการ เช่น การดูแลรักษา เก็บเกี่ยวผลผลิต และการปรับปรุงคุณภาพของผลผลิต โดยการตัดแต่งช่อผล เพื่อเพิ่มขนาดผล

         การปลูกลำไยทรงเตี้ยระยะชิด

        การปลูกลำไยระยะชิด เป็นเทคนิคหนึ่งที่นิยมในการทำสวนลำไยที่ให้ประโยชน์คุ้มค่า มีวิธีการไม่ยุ่งยาก เกษตรกรสามารถทำได้เอง ดังนี้ (ศูนย์วิจัยและพัฒนาลำไยแม่โจ้,มปป.)

        1. การกำหนดระยะปลูก

    เกษตรกรสามารถกำหนดระยะปลูกได้ตามความต้องการอาจเริ่มตั้งแต่ระยะระหว่างต้น 2 – 6 เมตร และระหว่างแถว 2 – 6 เมตร


จำนวนต้นต่อไร่ของการปลูกลำไยระยะชิด

ระยะปลูก (เมตร)

2

3

4

5

2

400

267

200

160

3

267

178

134

107

4

200

134

100

80

5

160

107

80

64


วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ชมพู่

 

ลักษณะของชมพู่น้ำดอกไม้

  • ต้นชมพู่น้ำดอกไม้ เป็นชมพู่พันธุ์ดั้งเดิมของไทย มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโด-มาลายัน ในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค โดยจัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง เช่นเดียวกับชมพู่แดง มีความสูงของต้นประมาณ 10 เมตร เปลือกต้นค่อนข้างเรียบเป็นสีน้ำตาล ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและวิธีการตอนกิ่ง เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นพอเหมาะ ชอบแสงแดดส่องถึงแบบเต็มวัน ในปัจจุบันมีสายพันธุ์หลักอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์ที่มาจากประเทศไทยผลจะเป็นสีเขียวอ่อน และพันธุ์ที่มาจากประเทศมาเลเซียผลจะเป็นสีแดง โดยจะให้ผลหลังการปลูกประมาณ 2 ปี มักขึ้นตามป่าราบทั่วไป พบปลูกกันบ้างตามสวนเพื่อรับประทานหรือขายเป็นสินค้า[1],[2]

ต้นชมพู่น้ำดอกไม้

  • ใบชมพู่น้ำดอกไม้ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปขอบขนานแกมใบหอกเรียวยาว ปลายใบแหลมและมีติ่งแหลม โคนใบมนรี ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 12-17 เซนติเมตร แผ่นใบหนาเป็นสีเขียวเข้ม[1],[2]

ใบชมพู่น้ำดอกไม้

  • ดอกชมพู่น้ำดอกไม้ ออกดอกเป็นช่อกระจะ โดยจะออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อยประมาณ 3-8 ดอก กลีบดอกบางเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ฐานรองดอกมีลักษณะเป็นรูปกรวย ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก[2]

ดอกชมพู่น้ำดอกไม้

  • ผลชมพู่น้ำดอกไม้ ผลเป็นผลสดใช้รับประทานได้ ผลเป็นผลเดี่ยว มีลักษณะเกือบกลม ดูคล้ายกับลูกจันสีเหลือง ปลายผลมีกลีบเลี้ยงติดอยู่ 4 กลีบ ภายในผลกลวง ผลมีกลิ่นหอมคล้ายกับดอกนมแมว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-6 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 80-100 กรัม ผลดิบเป็นสีเขียวเข้ม เมื่อแก่สุกแล้วจะเป็นสีเขียวอ่อนหรือสีเหลืองทอง เนื้อด้านในบางเป็นสีขาวนวลหรือสีเขียวอ่อน ส่วนเมล็ดเป็นสีน้ำตาลและมีขนาดใหญ่ มีรสหวานหอมชื่นใจ โดยจะเริ่มออกผลในช่วงปลายฤดูหนาว (ประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน)[1],[2]



มะตูม

 ทุกวันนี้ กระแสความนิยมบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทำให้สินค้าพืชผักผลไม้และสมุนไพรคุณภาพดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพพลอยขายดิบขายดีตามไปด้วย ซึ่ง “มะตูม” ก็ติดโผสินค้าขายดียอดนิยม เพราะเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณทางยามากมาย

“มะตูม” พันธุ์ไม้มงคล

“มะตูม” เป็นสมุนไพรเก่าแก่ของประเทศอินเดีย และเป็นไม้มงคลของศาสนาฮินดู เนื่องจากใบมะตูมมีลักษณะเป็น 3 แฉก คล้ายตรีศูลของพระศิวะ (พระอิศวร) ชาวอินเดียจึงนิยมปลูกมะตูมเป็นไม้มงคลประจำบ้าน เพื่อเอาไว้กินผลสุก และใช้ใบในการบูชาพระศิวะเมื่อต้องการขอพร และยกย่องต้นมะตูมว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าต้นโพธิ์

ประเทศไทย ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ จึงนิยมนำใบมะตูมมาใช้ในพิธีสำคัญต่างๆ อาทิ พิธีพืชมงคลแรกนาขวัญ ในพิธีสมรสพระราชทาน เป็นต้น ปัจจุบัน “มะตูม” ได้รับการยกย่องให้เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดชัยนาทอีกด้วย คนโบราณเชื่อว่าใบมะตูมป้องกันภูตผีปีศาจและเสนียดจัญไร เป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกในบริเวณบ้าน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งเรือง โดยถือเอาเสียง “ตูม” นั้นโยงเข้ากับความรุ่งเรืองเหมือนพลุ ดอกไม้ไฟ และเสียงปืนใหญ่ที่ดังตูม เพื่อประกาศความเกรียงไกรนั่นเอง

คุณครูลออ ดอกเรียง กับมะตูมพันธุ์เพิ่มทรัพย์

ราก ใบ ผลแก่ สุก เปลือก ราก ของมะตูมมีสรรพคุณทางยา ผลมะตูมสุกมีรสชาติหวาน หอม ช่วยแก้โรคท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ใบและยอดอ่อนมะตูม มีกลิ่นหอม รสมัน รสฝาด ใช้เป็นผักแนมแกล้มลาบ แกงเผ็ด หรือน้ำพริก  ผลมะตูมมีวิตามินบี 1 บี 2 ช่วยบำบัดอาการปลายมือ เท้า ไม่ให้ชา บำรุงกระเพาะลำไส้ได้ ลูกมะตูมดิบนิยมนำมาปรุงเป็นยำมะตูมรสชาติอร่อย คนโบราณนิยมดื่มน้ำมะตูม เพราะมีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ แก้กระหายได้ดีนักแล

มะตูม ปลูกแพร่หลายในอินเดีย ศรีลังกา ออสเตรเลีย ฯลฯ เพราะปลูกดูแลง่าย ทนร้อนทนแล้ง ไม่ต้องรดน้ำก็อยู่ได้ มักพบเห็นมะตูมในป่าเบญจพรรณทั่วไป ต้นมะตูมมีดอกสีขาวสวย กลิ่นหอมเย็นเหมือนดอกปีบ มีลำต้นสูงไม่เกิน 5 เมตร

มะตูม ที่เห็นวางขายในท้องตลาดทั่วไป มีผลขนาดย่อมปานกลาง ไม่ใหญ่มาก แต่ในขณะนี้จะพาไปเยี่ยมชม “มะตูมยักษ์” ของดีหายาก ของอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ เท่ากับผลมะพร้าวกันเลยทีเดียว หลายคนที่เพิ่งพบเห็นผลมะตูมยักษ์เป็นครั้งแรก รู้สึกตื่นตะลึงกับความแปลกมหัศจรรย์ของ “มะตูมยักษ์”ไปตามๆ กัน

คุณครูลออ ดอกเรียง กับมะตูมพันธุ์มาลี

คุณครูลออ ดอกเรียง เจ้าของไร่ “มะขามป้อมยักษ์ครูลออ” เลขที่ 14/2 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 71150 โทร. (081) 756-0939 และ (084) 926-7259 เล่าให้ฟังว่า มะตูม เป็นพันธุ์พืชท้องถิ่นของอำเภอไทรโยคนี่เอง มะตูมยักษ์ ที่นำมาโชว์ มีขนาดผลใหญ่มาก ประมาณ 2-3 กิโลกรัมขึ้นไป มะตูมยักษ์สายพันธุ์โบราณที่ชาวบ้านรู้จักและคุ้นเคยกันดีมีหลายสายพันธุ์ เช่น มะตูมหม้อ หรือ มะตูมนมยาน ซึ่งมีลักษณะผลแตกต่างกันไป

“ลักษณะเด่นของ “มะตูมนมยาน” ก็คือ ผล มีขนาดยาวรี ส่วนมะตูมหม้อ ตรงก้นจะเสมอกัน สามารถวางผลตั้งขึ้นได้ มะตูมยักษ์ที่เราเพิ่งเจอนี้ มีลักษณะผสมของมะตูมหม้อและมะตูมนมยาน” คุณครูลออ กล่าว

รู้จัก มะตูมสายพันธุ์โบราณ

คนไทยนิยมปลูกมะตูมและใช้ประโยชน์จากต้นมะตูมมาอย่างยาวนานนับร้อยปี ที่ปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศไทยมีหลากหลายสายพันธุ์ ได้แก่

  1. มะตูมหม้อ ลักษณะลูกใหญ่ 2-4 กิโลกรัม เนื้อเยอะ เปลือกหนา ตรงก้นจะเรียบเสมอกัน ลูกวางตั้งได้ ลูกอ่อนเปลือกสีเขียวเข้ม แก่ใกล้สุกสีเปลือกจะจางลงจนเป็นสีเหลืองทอง มะตูมหม้อนิยมนำมาทำมะตูมเชื่อม เพราะได้ปริมาณเนื้อเยอะ หรือหั่นแปรรูปเป็นสมุนไพรตากแห้งก็ได้ ปัจจุบัน มะตูมหม้อ เป็นสายพันธุ์มะตูมที่หายาก
  2. มะตูมนมยาน เป็นพันธุ์ลูกใหญ่พอๆ กับ มะตูมหม้อ แตกต่างกันที่ลักษณะลูก มะตูมนมยานลูกจะยาวรี บางต้นยาวรีเหมือนลูกรักบี้ก็มี ลูกอ่อนเปลือกสีเขียวเข้ม พอแก่เปลือกจะมีสีเหลืองทอง เปลือกหนา เนื้อเยอะ เหมาะสำหรับแปรรูปทำมะตูมเชื่อม หรือหั่นตากแห้งขาย มะตูมนมยานก็มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งเกิดจากการกลายพันธุ์นั่นเอง
  3. มะตูมไข่ ลักษณะลูกค่อนข้างกลม ผลมีขนาดเล็กประมาณกำมือ บางท้องที่จะเรียกมะตูมขี้ช้าง หากมีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งกิโลถึงหนึ่งกิโล เรียกว่า “มะตูมไข่” ซึ่งสายพันธุ์นี้สามารถพบเห็นได้ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ถือเป็นสายพันธุ์มะตูมที่หาง่าย นิยมนำไปหั่นตากแห้งเป็นส่วนมาก
  4. มะตูมนิ่ม สายพันธุ์นี้จะมีลักษณะเปลือกบางกว่ามะตูมทั่วไป ตอนสุกเปลือกจะนิ่ม ถือเป็นมะตูมสายพันธุ์หายากในปัจจุบัน มะตูมนิ่มมีทั้งลักษณะลูกกลมและลูกรี นิยมนำผลไปเป็นยาสมุนไพร สีผิวลูกจะไม่เขียวเข้ม ผลมีขนาดไม่ใหญ่มาก
เนื้อมะตูมยักษ์

ค้นพบ มะตูมยักษ์พันธุ์ใหม่ 

คุณครูลออ ได้รวบรวมสายพันธุ์มะตูมยักษ์หายากที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอไทรโยคนำมาปลูกเพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์ให้เป็นมรดกของท้องถิ่น ซึ่งมะตูมยักษ์ที่เพิ่งค้นพบเหล่านี้ คุณครูลออ ยืนยันว่า มาจากต้นพันธุ์ที่เกิดจากต้นเพาะเมล็ด มีอายุ 15-30 ปี แต่ละพันธุ์มีเพียงต้นเดียวเท่านั้น ซึ่งแต่ละต้นมีลักษณะของผลแตกต่างกันไป เช่น ผลยาวรี  เหมือนลูกส้มโอ หรือเหมือนฟักทอง ผลยาวแต่ตรงก้นเสมอกัน สามารถวางผลตั้งขึ้นได้ แถมบางต้นไส้ไม่มียาง  ต้นมะตูมยักษ์ทั้ง 4 พันธุ์ใหม่ ที่คุณครูลออค้นพบในครั้งนี้ ถูกตั้งชื่อตามเจ้าของสวนแต่ละแห่ง อาทิ

มะตูมไข่
  1. มะตูมพันธุ์เพิ่มทรัพย์

คุณครูลออ บอกว่า มะตูมพันธุ์เพิ่มทรัพย์ มาจากต้นพันธุ์ที่มีอายุ 10-15 ปี ผลมีขนาดใหญ่ 2-3 กิโลกรัมขึ้นไป ต้นสูง 5-7 เมตร ส่วนใหญ่ผลจะมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่บางลูกที่มีขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม มะตูมพันธุ์เพิ่มทรัพย์ก็ยังมีขนาดใหญ่กว่ามะตูมสายพันธุ์ทั่วไปอยู่ดี

  1. มะตูมพันธุ์มาลี

มะตูมต้นนี้ มาจากต้นแม่พันธุ์อายุประมาณ 30 ปี ข้างๆ จะมีต้นลูกขึ้นอยู่ด้วย ผลที่ติดของต้นลูกจะมีขนาดเล็กกว่าต้นแม่พันธุ์ ลักษณะผลของมะตูมพันธุ์มาลีจะแตกต่างจากสายพันธุ์มะตูมทั่วไป เนื่องจากลักษณะผลยาวรีเหมือนลูกรักบี้นั่นเอง

  1. มะตูมพันธุ์ไชโย

มะตูมต้นนี้ มาจากต้นแม่พันธุ์อายุประมาณ 15 ปี ลักษณะผลยาวรี ก้นแหลมไม่มาก ขนาดผลใหญ่

4. มะตูมพันธุ์บังอร

มะตูมต้นนี้ มาจากต้นแม่พันธุ์อายุประมาณ 20 ปี ลักษณะผลยาว ตรงก้นเสมอกันวางตั้งได้ ขนาดผลใหญ่

“มะตูมยักษ์ 4 สายพันธุ์ใหม่ ที่กล่าวมานี้ เป็นมะตูมยักษ์ที่มีขนาดผลใหญ่ ประมาณ 2-3 กิโลกรัม บางลูกมีขนาดใหญ่กว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว แต่ละพันธุ์มีต้นแม่พันธุ์เพียงแค่ต้นเดียว ซึ่งเกิดจากการเพาะเมล็ด หากต้องการสายพันธุ์แท้ ต้องเป็นต้นเสียบยอดหรือทาบกิ่งเท่านั้น” คุณครูลออ กล่าว

วิธีการปลูกดูแล

ต้นมะตูม เป็นไม้ผลที่มีระบบรากแข็งแรง ใน 1 ต้น อาจมีรากแก้ว 1-3 ราก จึงทำให้เติบโตได้เร็ว โดยธรรมชาติแล้ว มะตูมเป็นไม้ผลที่ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ เติบโตดีในสภาพดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินลูกรัง ดินเหนียว

มะตูมพันธุ์ไชโย

คุณครูลออ แนะนำให้ปลูกต้นมะตูมยักษ์ในช่วงต้นฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน โดยปลูกในระยะห่างประมาณ 8×8 เมตร ขุดหลุมลึก 50×50 เซนติเมตร ก่อนปลูกควรรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกเก่า หากใช้ปุ๋ยคอกใหม่ ควรปล่อยทิ้งไว้สัก 1 เดือน เพื่อให้ปุ๋ยย่อยเสียก่อน เวลาปลูกควรโรยหน้าดินกลบปุ๋ยคอกสักหน่อย โดยโรยดินหนาสัก 10 เซนติเมตร เพื่อเป็นกันชนปุ๋ยคอกกับราก

หลังเตรียมหลุมเสร็จให้นำต้นมะตูมยักษ์ลงปลูก ถ้าจะเสริมรากเพิ่ม ให้นำต้นเพาะเมล็ดลงปลูกไปพร้อมกันเลย ถ้าเสริม 4 ราก ก็ควรปลูกต้นเพาะเมล็ด 4 ต้น ลงไปพร้อมกับต้นพันธุ์ดี ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ก็เสริมรากได้สำเร็จ

ตอนปลูกใหม่ๆ ถ้าฝนไม่ตก ควรรดน้ำให้ต้นมะตูมด้วย เพราะต้นยังไม่แข็งแรง หลังปลูกได้ 3 ปี ต้นมะตูมจะเริ่มให้ผลผลิต หลังจากนั้นคอยดูแลให้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยเคมี สูตร 25-7-7 สำหรับมะตูมต้นเล็ก ควรให้ปุ๋ยประมาณ 1 ช้อนชา  และค่อยๆ เพิ่มไปเรื่อยๆ เมื่อต้นโตขึ้น หากต้องการบำรุงให้ต้นเติบโตเร็ว ควรใส่ปุ๋ยทุกๆ 14 วัน ต่อครั้ง แมลงศัตรูสำคัญของต้นมะตูมก็คือ หนอนกินใบ มักเจอในช่วงต้นมะตูมแตกใบอ่อน หากปล่อยให้หนอนกัดกินใบจะทำให้ต้นมะตูมเติบโตช้า

โดยทั่วไป ต้นมะตูมจะผลิดอกประมาณช่วงเดือนมีนาคม ก่อนออกดอก ใบมักร่วงหมดเสียก่อน พอแตกใบใหม่ ต้นมะตูมก็จะแทงช่อดอกออกมาด้วย ผลมะตูมมักสุกแก่ประมาณช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี

เทคนิคการเลือกซื้อต้นพันธุ์

มะตูมพันธุ์บังอร

คุณครูลออ บอกว่า ต้นมะตูมที่ใช้เมล็ดปลูก จะต้องใช้ระยะเวลาปลูกดูแลนาน 5-8 ปี จึงจะให้ผลผลิต มะตูมกลุ่มนี้จะมีลำต้นสูง อาจเกิดการกลายพันธุ์ได้ หากเลือกใช้ต้นพันธุ์มะตูมที่เกิดจากการเสียบยอดหรือทาบกิ่ง ใช้เวลาปลูกดูแลเพียงแค่ 3 ปี ก็จะเริ่มให้ผลผลิตแล้ว ผลมะตูมที่ได้จะมีลักษณะตรงกับต้นแม่พันธุ์ทุกประการ แถมลำต้นไม่สูงเหมือนกับต้นพันธุ์ที่ปลูกด้วยวิธีเพาะเมล็ด

โอกาสทางการตลาด ของ มะตูมยักษ์

มะตูม จัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ใช้เป็นวัตถุดิบป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม  มะตูมยักษ์เหมาะสำหรับทำมะตูมเชื่อม เพราะได้ปริมาณเนื้อเยอะ หากนำไปทำมะตูมตากแห้ง ก็สามารถแปรรูปได้หลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น ชามะตูม มะตูมผงชงพร้อมดื่ม น้ำมะตูม มะตูมผลสุก เหมาะสำหรับรับประทานเป็นผลไม้ หรือทำเค้กมะตูม เป็นต้น

ปัจจุบัน ไร่มะขามป้อมยักษ์ครูลออ นับเป็นแหล่งรวบรวมมะตูมคุณภาพสายพันธุ์ต่างๆ จำนวนมาก ทั้งมะตูมยักษ์ มะตูมนิ่ม มะตูมอินเดียแล้ว ยังมีมะขามป้อมยักษ์หลายสายพันธุ์ จำหน่ายให้แก่ผู้สนใจด้วย สามารถแวะชมสวนหรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับ คุณครูลออ ดอกเรียง ได้ที่ไร่มะขามป้อมยักษ์ครูลออ เลขที่ 14/2 หมู่ที่ 4 ตำบลท่าเสา อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 71150 โทร. (081) 756-0939 และ (084) 926-7259

สารภี

ลักษณะของต้นสารภี

  • ต้นสารภี จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไม่ผลัดใบ มีความสูงประมาณ 10-15 เมตร ลักษณะเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ แตกกิ่งก้านแผ่กว้าง เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอมน้ำตาลถึงดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ดตลอดทั่วลำต้น เปลือกในเป็นสีน้ำตาลแดง มียางสีครีมหรือสีเหลืองอ่อนเล็กน้อย ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เนื้อละเอียด เสี้ยนตรง ถี่และสม่ำเสมอ แข็ง และค่อนข้างทนทาน สามารถเลื่อย ผ่า และไสกบตบแต่งได้ง่าย ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดและการตอนกิ่ง ปลูกได้ดีทั้งในที่ร่มรำไรและที่กลางแจ้ง ปลูกได้ในดินทุกสภาพ ชอบดินร่วนซุย ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง มักพบขึ้นตามป่าเบญจพรรณและตามป่าดงดิบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 20-400 เมตร[1],[2],[4],[7]

ต้นสารภีสารพี

  • ใบสารภี มีใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับหรือเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบมนกว้าง ๆ บางทีอาจมีติ่งสั้น ๆ หรือหยักเว้าแบบตื้น ๆ โคนใบสอบเรียว ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีความกว้างประมาณ 2.5-7 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7.5-25 เซนติเมตร แผ่นใบหนาเกลี้ยงสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบจะสีอ่อนกว่า เนื้อใบหนาและค่อนข้างเรียบ เส้นแขนงของใบไม่มี แต่เห็นเส้นใบย่อยเป็นแบบเส้นร่างแหชัดทั้งสองด้าน และมีก้านใบยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร[1],[2],[4]

ใบสารภี

  • ดอกสารภี ออกดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อกระจุกตามกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ดอกมีกลีบดอก 4 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 2 กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวนมาก รังไข่มี 2 ช่อง ในแต่ละช่องมีไข่อ่อนจำนวน 2 ปลาย หลอดรังไข่แยกเป็นแฉก 3 แฉก โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม[1],[2],[4]

ดอกสารพี

ดอกสารภี

  • ผลสารภี ผลมีลักษณะเป็นรูปกระสวยหรือกลมรี ขนาดประมาณ 2.5-5 เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองอมส้ม เนื้อผลนิ่ม ผลเมื่อแก่จะแตกออกได้ และมีเมล็ดเดียว โดยจะเป็นผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[1],[2]

มะดั้น

 

ลักษณะของมะดัน

  • ต้นมะดัน เป็นไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 7-10 เมตร แตกกิ่งก้านออกเป็นพุ่ม ลักษณะของเปลือกต้นจะเรียบ สีน้ำตาลอมดำ ลักษณะของต้นมะดันมีดังนี้

ต้นมะดัน

  • ใบมะดัน เป็นใบเดี่ยว สีเขียวเข้ม รูปขอบขนาน ขอบใบเรียบออกเรียงสลับกัน โคนใบและปลายใบแหลม แผ่นใบเรียบลื่น
  • ดอกมะดัน เป็นดอกเดี่ยวหรือออกดอกเป็นกระจุกประมาณ 3-6 ดอก โดยดอกจะออกตามซอกใบ ดอกมีสีเหลืองอมส้มนิด ๆ ดอกมีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและดอกเพศผู้ มีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ ค่อนข้างกลม กลีบดอกมี 4 กลีบ คล้ายรูปแกมรูปไข่ ส่วนปลายกลีบจะมน และดอกเพศจะมีเกสรเพศผู้อยู่ 10-12 อัน
  • ผลมะดัน หรือ ลูกมะดัน ลักษณะของผลจะคล้ายรูปรีปลายแหลม ผลมีสีเขียว ลักษณะผิวเรียบเป็นมันลื่น ผลมีรสเปรี้ยวถึงเปรี้ยวจัด ด้านในผลมีเมล็ดประมาณ 3-4 เมล็ดติดกัน เมล็ดแข็งและขรุขระ โดยในผลจะมีวิตามินซีสูงและยังมีสารอาหารหรือสารสำคัญอย่างเบตาแคโรทีน รวมไปถึงแร่ธาตุชนิดต่าง ๆ เช่น แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส เป็นตัน

สรรพคุณของมะดัน

  1. ดอกมะดันในทางเภสัชวิทยาพบว่ามะดันมีสารสำคัญซึ่งมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้
  2. สรรพคุณมะดัน ผลช่วยแก้อาการคอแห้ง ช่วยทำให้ชุ่มชื่นคอ (ผล)
  3. ใบและรากปรุงเป็นยาต้มรับประทานแก้กระษัย (รก, ราก, ใบ, ผล, เปลือกต้น)
  4. ใบปรุงเป็นยาต้ม ช่วยขับฟอกโลหิต (รก, ราก, ใบ, ผล, เปลือกต้น)
  5. ช่วยแก้เบาหวาน (ราก)
  6. มะดันมีสรรพคุณช่วยรักษาไข้หวัด (รก, ราก, ใบ, ผล, เปลือกต้น)
  7. ช่วยแก้ไข้ทับระดู (รก, ราก, เปลือกต้น)
  8. ช่วยแก้อาการหวัด (ใบ)
  9. ช่วยแก้อาการไอ ด้วยการทำเป็นยาสูตรดองเปรี้ยวเค็ม (ใบ, ผล)
  10. ใช้เป็นยาแก้เสมหะ เสมหะพิการ กัดเสมหะในลำคอได้เป็นอย่างดี หรือจะปรุงเป็นยาต้มกินก็ได้ (รก, ราก, ใบ, ผล, เปลือกต้น)
  11. สรรพคุณของมะดัน ผลใช้ทำเป็นยาดองเปรี้ยวเค็ม ช่วยฟอกเสมหะ ล้างเสมหะ (ผล)ลูกมะดัน
  12. ผลมะดันนำมาดองน้ำเกลือ ใช้รับประทานเพื่อแก้อาการน้ำลายเหนียวหรือเป็นเมือกในลำคอ (ผล)
  13. ใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ โดยปรุงเป็นยาต้ม (ราก)
  14. ช่วยขับปัสสาวะ (ราก, ใบ)
  15. ใบมะดันและรากปรุงเป็นยาต้มช่วยแก้ระดูเสียในสตรี แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือจะทำเป็นยาดองเปรี้ยวเค็มก็ได้เช่นกัน (ราก, ใบ, ผล)

วิธีการปรุงเป็นยาต้ม ด้วยการใช้ใบหรือผลประมาณ 1 กำมือ ใส่น้ำพอท่วมยาแล้วต้มให้เดือดประมาณ 10 นาที และบางตำราบอกให้ต้มแบบไม่ใช้ไฟแรง ให้น้ำค่อยเดือด ๆ และต้ม 3 ส่วน เคี่ยวจนเหลือ 1 ส่วน โดยขนาดที่รับประทานคือครึ่งแก้วถึงหนึ่งแก้ว (125-250 cc) สรรพคุณช่วยแก้กระษัย ฟอกโลหิต ฟอกประจำเดือน เป็นยาระบายอ่อน ๆ แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางไม่ควรรับประทานอาหารหรือยาที่มีรสเปรี้ยวเพราะจะยิ่งไปกัดฟอกโลหิตมากขึ้น และอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

ประโยชน์ของมะดัน

  1. ประโยชน์ของมะดัน ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวได้ เพราะมีสารกลุ่ม AHA และ BHA โดยได้มีการนำมาใช้ในวงการเครื่องสำอาง ใช้เป็นส่วนผสมในสบู่ โทนเนอร์ ครีมบำรุงผิว เป็นต้น
  2. มีการนำมะดันมาทำเป็นน้ำหมักชีวภาพแล้วกรองเอาน้ำมาใช้ บ้างก็ใช้ปรุงในเครื่องดื่ม บ้างก็นำไปใช้ทำเป็นโทนเนอร์เช็ดหน้า
  3. ผลใช้รับประทานเป็นผลไม้สด โดยจิ้มกับพริกเกลือ
  4. ผลสามารถนำไปแปรรูปเป็น มะดันแช่อิ่ม หรือ มะดันดองแช่อิ่ม
  5. ผลมีรสเปรี้ยวจัด ใช้แทนมะนาวได้ เช่น การตำน้ำพริก น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกทรงเครื่อง น้ำพริกสับกากหมู หรือใช้ใส่ในแกงที่ต้องการความเปรี้ยวอย่างแกงส้มหรือต้มยำ เป็นต้น
  6. ยอดอ่อนและใบอ่อนใช้รับประทานเป็นผักได้
  7. ยอดอ่อนนำมาใส่ต้มปลา ต้มไก่ จะให้รสเปรี้ยวแทนมะนาวได้และยังทำให้รสชาติของอาหารหวานและหอมขึ้นด้วย
  8. กิ่งของมะดันนำมาใช้หนีบไก่ปิ้งหรือไก่ปิ้งไม้มะดัน จะช่วยทำให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทานยิ่งขึ้น
  9. ต้นมะดันเป็นไม้ที่ทนน้ำท่วมขังได้ดีมากที่สุดชนิดหนึ่ง มันจึงเหมาะถ้าจะปลูกไว้ในบริเวณที่อาจเกิดน้ำท่วม
  10. ต้นมะดันมีทรงพุ่มที่สวยงาม จึงเป็นต้นไม้ที่สามารถใช้ประดับสถานที่ได้เป็นอย่างดี

คุณค่าทางโภชนาการของผลมะดัน ต่อ 100 กรัม

  • คาร์โบไฮเดรต 6.5 กรัมใบมะดัน
  • ไขมัน 0.1 กรัม
  • โปรตีน 0.3 กรัม
  • เส้นใย 0.4 มิลลิกรัม
  • วิตามินเอ 431 หน่วยสากล
  • วิตามินบี 2 0.04 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 5 มิลลิกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 17 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 7 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก 0 มิลลิกรัม

คุณค่าทางโภชนาการของใบอ่อนมะดัน ต่อ 100 กรัม

  • คาร์โบไฮเดรต 7.3 กรัมมะดัน
  • ไขมัน 0.1 กรัม
  • โปรตีน 0.3 กรัม
  • วิตามินเอ 225 หน่วยสากล
  • วิตามินบี 1 0.01 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.04 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 0.02 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 16 มิลลิกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 103 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 8 มิลลิกรัม